เช้าวันพฤหัสบดีที่ 05 มีนาคม พ.ศ.2552
ผมตื่นนอนขึ้นมาด้วยความรู้สึกกระปี้ประเปร่า กว่าทุก ๆวันด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ หรือจะเป็นเซ้นต์ที่จะทราบว่า เว็บบล็อคของผม บริษัท สุภาภัทร จำกัด ติด index ของ เว็บ www.google.com/searchengin ครับ เป็นธรรมดาของคนทำธุรกิจทางโลกออนไลน์ไม่ว่าจะมือสมัคเล่นหรือมืออาชีพก็พยายามที่จะหาทางทำให้ web-site หรือ web-log ของตนติดอันดับใน search-engin ของระบบค้นหาบนโลกออนไลน์ (ซึ่งตอนนี้ระบบติดตามค้นหา search-enginที่มีอันดับต้น ๆของโลกก็คือ http://www.google.com/ และ http://www.msn.com/ ) เพราะมันเป็นช่องทางของการโปรโมทเว็บ และ เป็นความภูมิใจของเราชาวโลกไซเบอร์ที่จะมีชื่อติดอยู่บนระบบสืบค้นหาของ http://www.google.com/ เหมือนว่าธุรกิจเล็ก ๆของเรากำลังทำการตลาดชนิดหนึ่ง ที่เริ่มจะนำเสนอออกสู่สาธารณะได้แล้ว ภูมิใจ...ภูมิใจ...ภูมิใจ ครับ
- ธุรกิจ...ธุรกิจ...และธุรกิจ อะไร?คือคำจำกัดความของคำ ๆนี้ ส่วนตัวผมเองคิดว่ามันน่าจะหมายถึง"การค้า,การขาย ใด ๆ ไม่ว่าจะเป็น สินค้า,บริการ,คำปรึกษาที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนกัน ทั้งเงินทอง หรือเป็นสิ่งอื่นที่มีมูลค่าเหมาะสมตามที่ คู่สัญญาตกลงใจและยินยอมพร้อมกันทั้ง 2 ฝ่าย"นี่ก็น่าจะเป็นคำจำกัดความของคำว่า ธุรกิจ ได้ในอีกแง่มุมหนึ่ง .
- เมื่อ วานนี้(วันพุธที่ 04 มีนาคม พ.ศ.2552)ช่วงเช้าผมดูรายการข่าว "จับเงินชนทอง" มีเนื้อหาข่าวที่ 2 พิธีกร(จำชื่อไม่ได้ครับ) อ้างถึงแม่ค้า "ข้าวหลาม"จังหวัดตอนเหนือ จังหวัดหนึ่งแจ้งมาในจดหมายรำพึงรำพันถึงความทุกข์ว่าขณะนี้กำลังถูก สรรพากร ประเมินภาษีรายได้จากการค้าขาย"ข้าวหลาม"ซึ่งมีราคากระบอกละ 7 บาท และค้าขายมานานกว่า 10 ปีแล้ว คร่าว ๆสรรพากรท่านประเมินแบบพยากรณ์(เก่งกว่าหมอดู)บางท่านที่โด่งดังในประเทศไทยเสียอีกว่า แม่ค้ารายนี้ต้อง(ไม่ป่วย,ไม่หยุด,ไม่...ไม่...ไม่....ใช่คน แล้ว) ขายได้วันละ 500 บาทอย่างแน่นอน ชึ่งเดือนหนึ่งก็ต้องมีรายได้ 15,000 บาท ปีหนึ่งก็มีรายได้ 15,000 x 12 เดือน =180,000 บาท เข้าข่ายถูกประเมินภาษี แน่นอนครับ แต่ก็ต้องหารายจ่ายอื่นมาหัก ลดหย่อน เช่น ค่าเลี้ยงดูบุพพการี,ค่าดอกเบี้ยบ้าน,ค่าดอกเบี้ยประกันชีวิต เป็นต้น ให้รายได้ต่อปีต่ำกว่า 150,000 บาท ก็จะไม่ถูกประเมินภาษี เราชาวไทยทุกคนที่มีรายได้ ก็ควรจะปฎิบัติตามกฎหมาย(ให้เหมือนกันหมดทุกคน น๊ะครับ) เพราะรายได้ที่สรรพากรท่านนำไปก็จะนำไปพัฒนา กระเป๋านักการเมือง....เอ้ย! ประเทศชาติ(รู้ ๆ กันอยู่ แต่พูดไม่ได้) สังคม บ้านเมือง ของประเทศเรา หรือ แม้แต่ต่างประเทศจึง สับสน อลหม่าน คนรวย-คนจน รายได้ และ ช่องทางการหลบซ่อน หนี การชำระภาษี จึงต่างกันราวกับฟ้ากับดิน เลยครับ
- ภาพรวมของโลกเราตอนนี้ กระแสข่าว ต่างก็ ทยอย ๆออกมาว่า ลำบาก ลำบน กันทั่วทุกหัวระแหง ผมมีสายข่าว เป็นเพื่อนที่อยู่ที่ Germany ก็บอกว่า เศรษฐกิจฝืดเคืองจริง ๆ ยิ่งคนไทยที่อยู่ที่โน่น(ผมว่าคนเอเชียที่ไปอยู่ต่างประเทศทุกที แหละครับ ลำบากทั้งนั้น) ที่ไปทำมา หากิน ก็ ค่นแค้นเหลือเกิน เพื่อนผมอีกคนหนึ่งก็ไปทำงานบนเรือสำราญ ของสหรัฐ มา 3-4 ปี ทำงานหนักมากวันละ 13-14 ชั่วโมง ค่าแรงก็ยังไม่พอเลี้ยงดูครอบครัวเลย ก็ยังต้องกลับมาทำงานในประเทศไทยเพราะถึงแม้ค่าจ้างจะถูกกว่าเมืองนอก แต่ค่าครองชีพก็ต่ำกว่ามาก...มาก
- ประเทศเรา(เมืองไทย) ยังพอจะแล่นฝ่าฟันกับปัญหาทางเศรษฐกิจ ไปได้อย่างแน่นอน เพราะประชากรไทยเราเมื่อปีพ.ศ.2550 มีตัวเลขอยู่ที่ 67 ล้าน คน มีผู้มีอายุอยู่ในวัยทำงานได้(15-59 ปี)อยู่ประมาณ 47 ล้านคน แต่ตัวเลขผู้ตกงาน และ ทยอยตกงาน ถึงเดือน กุพภาพันธ์ พ.ศ.2552 มีประมาณ 100,000 คน(ถ้าไม่ตกงานทุกเดือนเป็น หมื่นเป็นแสนคน) ถือว่าสัดส่วนยังต่ำมาก มองในมุมของชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์อะไร ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นธรรมดาที่ภาครัฐก็ต้องเข้าไปเยียวยา เพราะคนกว่าแสนคนก็เป็นพี่น้องชาวไทยของเราเหมือนกัน แต่ จะใช้มาตรการใด?เพราะล่าสุด ใช้มาตรการ แจกค่ายังชีพให้กับผู้มีรายได้(ในระบบประกันสังคม/แต่นอกระบบไม่รู้อีก เท่า ไหร่ๆ) ต่ำกว่า 15,000 บาท(คือ มีรายได้ ต่ำตั้งแต่ 14,999 บาท ลงมาได้หมด) ก็มีอยู่ ราว ๆ 1-2 ล้าน คน x 2,000 บาท ต่อ คน รัฐต้องใช้เงินทั้งสิ้น =4,000 กว่า ล้าน บาท เข้าไปแล้ว(งบประมาณแผ่นดิน ปี พ.ศ.2552 ตั้งไว้ที่ 3.3 แสน ล้าน(ตัวเลขอ้างอิง คร่าว ๆ จากงบประมาณ แผ่นดิน ตั้งระหว่าง ปี พ.ศ.2549-2551) ก็ ยังถือ ว่า O.K. นำเงินมาใช้ ประมาณ 6-7 % ของงบประมาณประจำปี แต่อย่าลืมว่าเงินงบประมาณ เป็นตัวเลขที่ประมาณการ การจัดเก็บภาษี ล่วงหน้าเม็ดเงิน และแหล่งที่มาก็อ้างอิงมาทั้งนั้น มิฉะนั้นเราคงจะไม่ค่อยได้ยินข่าว ว่ารัฐบาลโน่น รัฐบาลนี้ ต้องตั้งสำรองเบิกเงินเกินบัญชี เพราะ ขาดดุล ต่าง ๆ นานา จนเมื่อ วานนี้ 04 มีนาคม พ.ศ.2552 ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ออกมารณรงค์ ขอความร่วมมือให้หน่วยงานข้าราชการต่าง ๆ ช่วยสัมมนาภายในประเทศไทย เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทย(และ ประสานรอยร้าวภายในใจ ของชนในชาติที่รู้สึก ต่างคนต่างอยากจะเข้ามานั่งในรัฐบาลเพื่อ ตักตวงผลประโยชน์ ภายในตัวด้วย).
- ผมเอง ปัจจุบัน ทำอาชีพหลักเป็นลูกจ้าง (พนักงานบริษัทฯเอกชน แห่งหนึ่ง มีสาขา กว่า 20 แห่ง ทั่วประเทศไทย เป็นธุรกิจ เกี่ยวกับรถเช่า) และ ก็ ทำอาชีพเสริมหลายอย่าง ด้วยกัน มีรายได้บ้างไม่มีรายได้บ้างก็ให้เป็นไปตามกลไกของระบบตลาด เพราะบนโลกเรานี้ผมว่ามี ประเภทธุรกิจ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนอง ความต้องการของมนุษย์เรา เป็น พัน เป็น หมื่น อย่าง บริษัทฯ ห้างร้าน เอง ก็คงมีไม่น้อยกว่า แสน ๆ กิจการ แน่ ๆ(เห็นมั๊ยครับไม่ใช่เรื่อง ง่าย ๆเลย ที่กิจการใด กิจการหนึ่ง จะเติบโตขึ้นมาได้ และอยู่ให้รอดในโลกเรา ปัจจุบันนี้ นี่ขนาดเรามีกฎหมายลิขสิทธิ์ที่มีมาตรฐาน เหมือนกันทั่วโลก ยังไม่วายจะต้องต่อสู้กับ บรรดาผู้ที่ชอบก็อปปี้ สินค้า หรือ งานบริการ ของคนอื่น ๆอีก กล่าวคือ แค่คิด ก็โดนคนอื่น คว้าเอาไปทำแล้ว) แต่ด้วยความฝันอันสูงสุดของผมอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง สักอย่างเอาไว้ชื่นชมและดูแลครอบครัว อ่านหนังสือมาก็เยอะ เคยทำธุรกิจมาบ้าง แต่ก็ไม่ประสพความสำเร็จนัก แต่หัวใจของคนที่อยากทำธุรกิจก็ไม่เคยห่างหายไปเลย ถึงเงินทองไม่อำนวย ผมก็จะหาอะไร ก็ได้ที่ได้ชื่อว่า เป็นธุรกิจ เป็นการค้าขาย เป็นสินค้าที่เราจะนำมาขายได้ให้แก่ คนทั่วไป เพื่อให้เข้าใจว่า คนทำการค้าเข้ามีความรู้สึกกันอย่างไร(ตายไปจะได้ไปเล่าให้ คนโลกโน่นได้รู้ว่า "ข้าก็มีธุรกิจกับเค้าเหมือนกัน น๊ะ...เนี่ย") กิจการที่ผมค่อย ๆเริ่ม สะสม ประติด ประต่อ ขึ้นมา ก็มี อาทิ
- ธุรกิจ ขายตรงเครือข่าย หลายชั้น(Multi Level Marketing) สินค้าเป็นพวก ของกิน ของใช้ เบ็ดเตล็ด ทั้งหลาย สินค้า บริษัทฯนี้ถือว่า เวิร์ค มาก มีลูกค้า จริง ๆ
- ธุรกิจ ประกันวินาศภัย และ การ ท่องเที่ยว ทั่วประเทศ(รับจัดรถรับส่งสนามบิน และ ทั่วท่องเที่ยวทั่วประเทศ)
- ธุรกิจ สินค้า ออนไลน์ ในเครือ amazon บริษัทฯนำเข้าจาก สหรัฐอเมริกา(ชำระสินค้าด้วย บัตรเครดิต หรือ บัตร e-business card) เช่น :-
- ร้านหนังสือ ภาษา อังกฤษ
- ร้านของเด็กเล่น
- ร้านเสื้อผ้า สำเร็จรูป
- ร้าน นาฬิกา ยี่ห้อ casio
- ร้านขาย ดีวีดี และ วีซีดี ทั้งใหม่ และ เก่า
- ร้านขาย ของเด็กเล่น และ ของที่ระลึก ในเครือ DC Commic
- สินค้า อีเลคโทรนิค: กล้องถ่ายรูป, ipod, note-book ,gps,อุปกรณ์ป้องกันขโมย และ สินค้าอีเลคโทรนิค อีกหลายรายการ
เห็นมั๊ยครับ แค่นี้เราก็เป็นเจ้าของกิจการบนโลก ไซเบอร์ ได้แล้ว ยุคสมัยเปลี่ยนไปการสื่อสารก็เปลี่ยนไป มนุษย์ต้องการอะไรที่สะดวก และ รวดเร็วขึ้น อีกทั้งการต้องการจะลงทุนในกิจการใดต้นทุนก็ควรต้องต่ำ แต่ผลกำไรควรจะมาก(แฮะ....แฮะ....คิดเข้าข้างตัวเอง เห็น ๆ) ดังนั้น ระบบพาณิชย์ อีเล็คโทรนิค จึงเข้ามาและ ทุกบริษัทฯชั้นนำของโลก ก็กำลังพัฒนาระบบขนส่ง และการชำระเงิน ที่ง่าย และแสนสะดวก สะบาย ให้กับลูกค้า เพื่อเป็นการแข่งขันอีกรูปแบบหนึ่งของเทคนิคการตลาด
- มีเทคโนโลยี นวัตกรรม ตัวหนึ่งของ บริษัทฯแนวหน้าของโลกอีกบริษัทหนึ่งของโลก ที่ผลิต"หนังสืออีเลคโทรนิค "สินค้าชิ้นนี้มีชื่อว่า kindle device wireless" เป็นการปฏิวัติโลกของหนังสือ อย่างสิ้นเชิง เหมือนเค้าจะรู้ล่วงหน้าว่าในอนาคตวัตถุดิบที่ใช้ทำกระดาษอาจหายาก และอาจจะหมดไป จึงเตรียมอุปกรณ์การอ่าน kindle device wireless ชิ้นนี้ไว้ จะดีแค่ไหน?ถ้าตื่นเช้ามาเราก็สามารถ อับเดทข่าวสาร ข้อมูลทั้งโลก หนังสือน่าอ่านทุกเล่ม กว่า พัน กว่าหมื่นเล่ม ลงมาไว้ใน อุปกรณ์ที่คุณพกพาไปไหน มาไหน ได้สะดวก และเบากว่า note-book ไม่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ไม่ต้องเปิดสัญญาน wireless หรือ wifi ไว้ตลอดเวลา ไม่ต้องเสียค่าต่อโทรศัพท์
- เห็นมั๊ยครับ โลกยุคใหม่ มนุษย์ รักสุขภาพมากขึ้น อยากอยู่กับเย้า เฝ้ากับเรือน(เหมือนจะเป็นผีบ้าน ผีเรือน ยังไงก็ไม่รู้) มากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นใครที่สามารถเกาะตามเทคโนโลยีได้บ้าง และค่อย ๆพัฒนาความรู้ความสามารถ ไปช้า ๆอย่างต่อเนื่อง เราก็จะได้อยู่บนโลกสมัยใหม่ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เอาหล่ะครับนี้ก็ จวนจะมืดแล้ววันนี้นั่งคลุก อยู่กับ คอมพิวเตอร์ทั้งวันเลยเปลี่ยนบรรยากาศไปออกกำลังกายบ้าง ก็แล้วกัน ทุก ๆคนด้วยน๊ะครับ สวัสดีครับ


No comments:
Post a Comment